เห็ดมีประโยชน์มากกว่าที่คิด! แต่บางโรคห้ามกินเด็ดขาด

K

เห็ดเป็นอาหารธรรมชาติที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟางในต้มยำ เห็ดหอมในผัดผัก หรือเห็ดเข็มทองในหม้อชาบู ล้วนเป็นของโปรดของหลายคน เพราะเห็ดไม่เพียงให้รสชาติกลมกล่อม แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจที่เห็ดถูกจัดให้เป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การกินเห็ดก็มีข้อควรระวัง เพราะในบางกรณี เห็ดอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางโรค เช่น โรคเกาต์หรือโรคไต ที่อาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายหากรับประทานมากเกินไป บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่าเห็ดมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร และใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการกินเห็ด เพื่อให้คุณสามารถเลือกรับประทานได้อย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด

เห็ดคืออะไร?

เห็ด (Mushroom) คือสิ่งมีชีวิตในกลุ่มฟังไจ (Fungi) ที่ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้เอง ต้องดูดซึมสารอาหารจากสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน ไม้ หรืออินทรียวัตถุอื่น ๆ เห็ดมีหลายสายพันธุ์ทั่วโลกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รับประทานได้อย่างปลอดภัย
ในประเทศไทย เห็ดที่นิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น

  • เห็ดฟาง
  • เห็ดหอม
  • เห็ดนางฟ้า
  • เห็ดเข็มทอง
  • เห็ดหลินจือ (ใช้ทางยา)
  • เห็ดโคน
  • เห็ดชิเมจิ

ประโยชน์ของการกินเห็ดต่อสุขภาพ

เห็ดถือเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” (Superfood) ที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร แถมยังให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพ

1. เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

ในเห็ดมีสารสำคัญชื่อว่า เบต้ากลูแคน (Beta-glucan) ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานดีขึ้น เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดและการติดเชื้อ เห็ดหลินจือ เห็ดหอม และเห็ดหูหนู ถือเป็นตัวอย่างของเห็ดที่ช่วยเสริมภูมิได้อย่างดี

2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด

เห็ดมีไฟเบอร์สูงและไม่มีไขมันอิ่มตัว จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

3. บำรุงสมองและระบบประสาท

เห็ดบางชนิด เช่น เห็ดหอม เห็ดนางรม และเห็ดชิเมจิ มีวิตามินบีสูง โดยเฉพาะวิตามิน B2, B3 และ B5 ซึ่งช่วยบำรุงสมอง ลดความเครียด และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท

4. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

เห็ดมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอล และเซเลเนียม (Selenium) ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันริ้วรอยและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง การกินเห็ดเป็นประจำจึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน

5. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ไฟเบอร์ในเห็ด โดยเฉพาะเบต้ากลูแคน มีส่วนช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลคงที่ เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการป้องกันโรคนี้

6. บำรุงกระดูกและฟัน

เห็ดบางชนิด เช่น เห็ดแชมปิญอง และเห็ดหอม มี วิตามินดี (Vitamin D) สูง ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

7. ช่วยในการขับถ่าย

ใยอาหารในเห็ดช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

เห็ดชนิดต่าง ๆ และคุณประโยชน์เฉพาะตัว

เห็ดหอม

มีสาร อีริทาเดนิine (Eritadenine) ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงหัวใจ และมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยสร้างโปรตีนในร่างกาย

เห็ดเข็มทอง

มีไฟเบอร์สูง ช่วยลดน้ำหนักและขับไขมันส่วนเกิน มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

เห็ดหูหนูดำ

อุดมด้วยธาตุเหล็กและคอลลาเจนจากพืช ช่วยบำรุงเลือด และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

เห็ดนางฟ้า

มีโปรตีนสูง ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ เหมาะกับผู้ที่กินมังสวิรัติหรือเน้นอาหารสุขภาพ

เห็ดหลินจือ

ใช้ในทางการแพทย์แผนจีนมานาน มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยให้หลับสบาย

ใคร “ห้ามกินเห็ด”? โรคที่ควรหลีกเลี่ยง

แม้เห็ดจะมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยบางโรคที่ควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังในการรับประทาน ดังนี้

1. ผู้ป่วยโรคเกาต์ (Gout)

เห็ดมี สารพิวรีน (Purine) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดยูริก หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้กรดยูริกสะสมและกระตุ้นอาการปวดข้อได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงหรือกินเพียงเล็กน้อย

2. ผู้ป่วยโรคไต

คนที่มีภาวะไตเสื่อมควรจำกัดการกินเห็ด เนื่องจากเห็ดมีโปรตีนและโพแทสเซียมในระดับหนึ่ง หากร่างกายขับออกไม่หมดอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง เสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

แม้เห็ดจะช่วยเสริมภูมิ แต่เห็ดบางชนิด โดยเฉพาะเห็ดป่าที่ไม่ผ่านการปรุงสุกหรือปนเปื้อนเชื้อรา อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด

4. ผู้แพ้โปรตีนจากเห็ด

บางคนอาจมีอาการแพ้เห็ด เช่น คัน ผื่นขึ้น หรือแน่นหน้าอกหลังรับประทาน ควรหยุดกินทันทีและพบแพทย์

5. ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร

เห็ดบางชนิดมีย่อยยาก โดยเฉพาะถ้าไม่ปรุงให้สุกดี อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืดได้

ระวัง “เห็ดพิษ” กินผิดชีวิตเปลี่ยน!

ทุกปีจะมีข่าวคนเสียชีวิตจากการเก็บเห็ดป่ามากิน เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเห็ดกินได้ ทั้งที่แท้จริงเป็นเห็ดพิษ เช่น เห็ดระโงกหิน, เห็ดระโงกเหลือง, เห็ดไข่ตายซาก ซึ่งมีสารพิษร้ายแรง
อาการของคนที่กินเห็ดพิษเข้าไป ได้แก่

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง ท้องเสีย
  • เหงื่อออกมาก ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ชัก หรือหมดสติ

หากสงสัยว่าได้รับพิษจากเห็ด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที พร้อมตัวอย่างเห็ดที่กินเพื่อช่วยในการวินิจฉัย

เคล็ดลับการกินเห็ดให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด

  1. เลือกเห็ดที่สดและสะอาด ไม่มีจุดด่างหรือกลิ่นเหม็น
  2. หลีกเลี่ยงเห็ดป่า หากไม่แน่ใจว่ากินได้หรือไม่
  3. ล้างให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร เพื่อขจัดฝุ่นและสารเคมี
  4. ปรุงให้สุกเสมอ เพราะเห็ดดิบอาจมีสารพิษหรือเชื้อโรค
  5. ไม่กินซ้ำหลายมื้อ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเกาต์หรือโรคไต
  6. เก็บในตู้เย็นไม่เกิน 3 วัน เพราะเห็ดเน่าเสียง่ายและอาจเกิดเชื้อรา

สรุป: กินเห็ดให้เป็น กินเห็ดให้ดี

เห็ดคือของขวัญจากธรรมชาติที่ให้ทั้งคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังได้มากมาย
อย่างไรก็ตาม การกินเห็ดต้องรู้จักเลือกชนิดและปริมาณให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เกาต์ ไต หรือผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว