ปรับกลยุทธ์ การนับแคลอรี่ นับอย่างไรให้ร่างกายฟิต 

K

จากการสำรวจของ Ipsos ในปี 2020 กล่าวว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกพยายามที่จะลดน้ำหนัก 2-3 กิโลกรัม โดยการออกกำลังกายมากขึ้น รับประทานอาหารที่ดีขึ้น โดยไม่ใช้การอดอาหาร ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า “การนับแคลอรี่” คือการที่คุณพยายามเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าที่รับเข้าไป แต่ปัญหาก็คือ การควบคุมการเผาผลาญแคลอรี่ของคุณนั้นยากกว่าที่คุณคิด

จำนวนแคลอรี่ที่คนเผาผลาญขณะออกกำลังกายนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ รวมถึงส่วนสูงและน้ำหนัก เพศ และมวลกล้ามเนื้อ ถึงแม้ว่าสุขภาพและสภาพอากาศของคุณก็อาจส่งผลต่อจำนวนแคลอรี่ที่คุณเผาผลาญในการออกกำลังกายบางชนิดประเภท

นอกจากนี้ อุปกรณ์เช็คติดตามแคลอรี่ อาจไม่แม่นยำเสมอไป โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะวัดอัตราการเต้นของหัวใจอย่างแม่นยำในผู้ที่กำลังเดิน วิ่ง และ ปั่นจักรยาน แต่ไม่มีอุปกรณ์ใดที่วัดการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ จากผลการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นั้นกล่าวว่า อุปกรณ์ที่แม่นยำที่สุด ผิดไปเกือบ 27% ของเวลาที่วัดจำนวน ในขณะที่อุปกรณ์ที่แม่นยำน้อยที่สุดผิดไปถึง 93%

 

เครื่องวัดในอุปกรณ์ออกกำลังกายอาจไม่น่าเชื่อถือเสมอไป

คล้ายๆกัน เครื่องนับแคลอรี่บนอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น ลู่วิ่ง จักรยานออกกำลังกาย และเครื่องเดินวงรี ก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน โดยเฉพาะเครื่องเดินวงรีจะวัดการเผาผลาญแคลอรี่ได้ไม่ดี โดยเครื่องเหล่านี้มักจะประเมินค่าใช้จ่ายแคลอรี่ของคุณสูงเกินไปอย่างมาก โดยงานวิจัยในปี 2018 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Exercise Medicine กล่าวว่า เครื่องออกกำลังกายเหล่านี้อาจบอกว่า เราเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่า 200 แคลอรี่ต่อชั่วโมง ซึ่งมันมากกว่าความเป็นจริงเมื่อเราออกกำลังกาย 

แคท แบร์ฟิลด์ ผู้ฝึกสอนด้านโภชนาการของ National Academy of Sports Medicine กล่าวว่า คุณไม่สามารถพึ่งพาเครื่องออกกำลังกายเหล่านี้ได้จริงๆ  “แม้ว่าคุณจะเข้าไปในห้องแล็บสรีรวิทยา และติดอุปกรณ์ที่ซับซ้อน ผลลัพธ์ก็จะไม่แม่นยำอยู่ดี”

แต่ในสำหรับผู้คนที่ไม่ทราบว่า จำนวนแคลอรี่ที่เขาเผาผลาญอยู่นั้นเป็นเท่าไหร่ในระหว่างออกกำลังกายและไม่รู้ว่าจะวางแผนการออกกำลังกายอย่างไร

แอนเดอร์สันกล่าวว่าเลือกออกกำลังกายทั้งตัวเพราะเขาสามารถเผาผลาญแคลอรี่มากที่สุด “ตอนกำลังฝึกซ้อมสำหรับ Ironman World Championships เขาได้เผาผลาญแคลอรี่จากการว่ายน้ำและวิ่งมากกว่าการปั่นเครื่องปั่นจักรยานแน่นอน” เขาเสริมว่า ตัวเลือกอื่นๆเช่น พิลาทิสและการเทรนอย่างหนัก หรือการอออกำลังกายแบบ HIIT และการเปิดเพลงมันส์ๆ ก็สามารถให้พลังงานและช่วยให้คุณรู้สึกอยากเคลื่อนไหวมากขึ้นเช่นกัน

 

วิธีที่จะฟิตแบบ NEAT (non-exercise activity thermogenesis หรือว่าการเผาผลาญแบบทำกิจกรรมที่ไม่ออกกำลังกาย)

หลายๆคนชอบเน้นที่จะรับแคลอรี่ในส่วนของสมการ อย่างไรก็ตามจำนวนแคลอรี่ในอาหารต่างๆมักจะใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะวัดจากหลายๆที่ก็ได้จำนวนที่พอๆกัน ตัวอย่างเช่น กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ กล่าวว่าแอปเปิลขนาดกลางหนึ่งผลมีแคลอรี่ประมาณ 100 แคลอรี ขึ้นอยู่กับพันธุ์และขนาดที่แน่นอน อย่างไรก็ตามแอนเดอร์สันคิดว่า การนับแคลอรี่อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน “เขาไม่รู้ว่าผู้ป่วยจำนวนมาก ไม่สามารถนับจำนวนแคลอรี่ได้อย่างแม่นยำ โดยพวกเขามักจะค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่า PBJ เท่ากับ X แคลอรี่ แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ว่า ส่วนประกอบในอาหารชิ้นนั้นมีมากเท่าไหร่ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการประมาณการณ์” 

โดยทั่วไปแล้ว แบร์ฟิลด์ ก็ไม่ให้ลูกค้าที่ใช้บริการเธอนับแคลอรี่เช่นกัน โดยเขามักจะกระตุ้นให้ ลูกค้าคำนวนผ่านกิจกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ยิ่งถ้าคุณออกกำลังกายเพียง 1 ครั้ง เช่น การปั่นจักรยาน ร่างกายของคุณก็จะทำงานนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยิ่งร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ร่างกายก็จะเผาผลาญแคลอรี่น้อยลงเท่านั้น ดังนั้นการออกกำลังกายหลายๆรูปแบบในแต่ละสัปดาห์นั้นจึงสามารถช่วยได้

นอกจากนี้แล้ว แบร์ฟิลด์ ยังเป็นแฟนตัวยงของการออกกำลังกายแบบ NEAT หรือว่า การเผาผลาญแบบทำกิจกรรมที่ไม่ออกกำลังกาย ที่ไม่เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การนอนหลับ และการออกกำลังกายตามแผนไว้ ตัวอย่างการออกเผาผลาญแบบ NEAT เช่น การเดินขึ้นบันได ทำสวน เดินคุยโทรศัพท์ แค่นั้นก็เรียบร้อย

 

คอยขยับตัวอยู่เสมอ

ในหนังสือของ ดร.เจมส์ เลวีน แพทย์ต่อมไร้ท่อ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างโต๊ะลู่วิ่งเครื่องแรก ได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า “Move a Little, Lose a Lot” ในปี 2009 เขียนไว้ว่า ในการใช้ชีวิตประวันของเราสามารถเผาผลาญแคลอรี่จาก NEAT ได้ 1,500-2,000 แคลอรี่ต่อวัน

ในบางทีการเพิ่ม NEAT ของคุณอาจมีประโยชน์มากกว่าการนับแคลอรี่หรือพยายามที่หาหารออกกำลังกายที่เผาผลาญได้มากที่สุด  

อย่างไรก็ตาม แอนเดอร์สันกล่าวว่า “ในชีวิตของคุณมีเรื่องให้เครียดกว่าการนับแคลอรี่” ในทางกลับกัน แอนเดอร์สันเสริมว่า ควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของคุณ ไม่ใช่น้ำหนัก แต่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง เดิน หรือเต้นรำในบ้าน

และเขากล่าวอีกว่า “ความฟิตสำคัญกว่าความอ้วน และการออกกำลังกายได้ผลดีกว่าการอดอาหารทุกครั้ง”